เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาพระไปปฏิบัติกันอยู่ เวลาไม่มีปัญหากันเหมือนคนไม่มีกิเลสนะ คนเราสงบเสงี่ยมแล้วมันดูสวยดูงามไปหมดเลย แต่พอมีอะไรกระทบขึ้นมามันถึงจะเห็น ถ้ามันกระทบขึ้นมาแล้วมันเห็นขึ้นมา สิ่งอันนั้นมันถึงว่ากิเลสนี่มันร้ายกาจมาก เราเห็นอยู่ อยู่กับเรานี่แหละ มันอยู่กับเราแล้วมันปั่นป่วนในตัวเรา ถ้ามีการกระทบนะ ถ้าไม่มีการกระทบเราพยายามควบคุมมันได้ ถ้าเราควบคุมมันได้ บางทีนี่การศึกษาการเล่าเรียนมันนิ่ง เรารู้สิ่งต่างๆ แล้วเราไม่ตื่นไปกับเขา นี่การศึกษาการเล่าเรียน
เหมือนกัน สุตมยปัญญาก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมะมาแล้วเราเข้าใจตามธรรมะ ศึกษาธรรมะ เห็นไหม การสอบนักธรรม การสอบอะไรนี่เขาก็สงบเสงี่ยมได้ เรารู้ตัวว่าสิ่งนี้มันเป็นธรรม สิ่งนี้มันเป็นกิเลส แต่เราไม่สามารถชำระมันได้ เราไม่สามารถ เราควบคุมมันได้เฉยๆ ควบคุมมันได้ เห็นไหม เวลามันตีกลับขึ้นมา มันรุนแรงกว่าการที่ว่าปล่อยมันตามธรรมชาติอีก เหมือนเด็กเลย เด็กถ้าปล่อยให้มันเล่นตามสบายของมันนะ มันไปประสาของมันได้ แต่ถ้าเราบังคับมันๆ จะต่อต้านมาก
กิเลสก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้จักมันมันก็ไปประสามัน พอเรารู้จักมันขึ้นมามันเริ่มจะต่อต้านขึ้นมา มันจะทำตามประสาอำนาจของมัน นั่นล่ะกิเลสมันเป็นแบบนั้น เราถึงต้องพยายามชำระกิเลสของเรา ถ้าเราชำระกิเลสของเราได้มันเป้าหมายนะ เวลาเราตักบาตร เราใส่บาตร เราอธิฐานขอให้สิ้นสุดทุกข์ ขอให้ถึงพระนิพพาน มันดูเหมือนกับคนเรามันจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันจะเป็นไปได้เพราะใจของเรา
เราตั้งเป้าหมายอธิษฐานบารมี เป้าหมายว่าเราจะพ้นจากทุกข์ แต่จะพ้นจากทุกข์ได้มันต้องมียา ยาการรักษา การชำระจิตใจมันต้องมีธรรมโอสถ ถ้าธรรมโอสถเกิดขึ้นมานี่ความเห็นผิดของเรา ถ้ากิเลสมันอยู่ในหัวใจ การประพฤติปฏิบัติกิเลสมันจะบอกว่า ทำอย่างนี้ถูกต้องตามความพอใจของมันหนึ่ง ตามความหลงของมันหนึ่ง ความพอใจคือว่ามันต้องการสะดวกสบายไง
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเข้มแข็งเกินไป มันบอกอันนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยค มีมากเลยบอกว่าการทำประพฤติเข้มแข็งเป็นอัตตกิลมถานุโยค เราบอกไม่จริง ถ้าเป็นอัตตกิลมถานุโยคมันต้องเป็นแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ ก่อนตรัสรู้อยู่ในเมืองอินเดีย ทำทุกข์กิริยาต่างๆ อันนั้นนะอัตตกิลมถานุโยค ท่านถึงไม่บัญญัติไว้ สิ่งที่ท่านบัญญัติไว้คือมัชฌิมาปฏิปทา
แต่กิเลสของคนมันมีหยาบมีละเอียดต่างกัน ถ้าคนที่หยาบมันก็ต้องอาศัยความรุนแรงกับมันทำกับมัน เหมือนสัตว์ เขาจับสัตว์ออกมาจากป่า จับม้าออกมาจากป่า เขาจะฝึกม้าขึ้นมานี่ ถ้ามันฝึกง่ายก็ให้กินให้อยู่ตามสบายของมัน ถ้ามันฝึกยากเราก็ต้องบั่นทอนอาหารของมันเพื่อให้มันไม่มีกำลัง แต่พอมันเชื่อฟังขึ้นมาเราก็ให้มันกินเหมือนกัน
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ากิเลสของเรา ถ้ามันต่อต้านมันดิ้นรนของเราขึ้นมา เราต้องเห็นสภาวะแบบนั้น เราต้องมีปัญญาไง ปัญญาในการจะเอาชนะตัวเองมันเหมือนว่าเป็นการทรมานตน ใช่อยู่เป็นการทรมานตนเพราะกิเลสมันอยู่ในตนนั้น ต้องทรมานกิเลสไปด้วย สิ่งที่ทรมานกิเลสไปด้วยเราต้องเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ถ้าเราไม่มีกำลังใจนะ เราทำไม่ได้นะ สิ่งต่างๆ ที่เราจะทำขึ้นมามันเป็นความขัดข้องใจเรานี่ เราก็ไม่อยากทำ การขัดข้องใจคือขัดข้องของกิเลส แล้วกิเลสมันว่าสิ่งนั้นดีไง สิ่งนั้นดี สิ่งนั้นถูกต้อง ความพอใจของเราก็เป็นสิ่งที่ดี ถ้าทำไม่พอใจของเราก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี
ศีลธรรมถึงมีประโยชน์ตรงนี้ การเบียดเบียนเขาไม่ดี แล้วการเบียดเบียนตนล่ะดีไหม? อย่างเช่นทำการทำงานมันเป็นการเบียดเบียนตนไหม? ทำการทำงานมันเป็นประโยชน์มันเป็นความดีอย่างหนึ่งมันก็เป็นความดีอย่างหนึ่ง แต่ถ้าติดมันๆ ก็เบียดเบียนตน ถ้าติดมันนะ ถ้าทำติดมันจนหามรุ่งหามค่ำจนไม่รู้เวล่ำเวลา นั้นมันก็เป็นความติดมันอันหนึ่ง การติด เห็นไหม ถึงว่ามัชฌิมาปฏิปทา แต่ต้องเข้มแข็งไว้ก่อน เข้มแข็งเพราะเราต้องเอาชนะตนเองได้
ถ้าเราชนะตนเองได้ มรรคผลนิพพานมันอยู่ตรงนี้ไง ตรงที่ว่าถ้าหัวใจมันเข้าถึงมัชฌิมาปฏิปทา มันเข้าถึงหลักความจริง มันจะเป็นไปได้ การให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา เป็นการปูพื้นฐานทั้งหมดเลย พยายามฝึกฝนใจขึ้นมาๆ เวลาเราคิดขึ้นมาเราใช้ปัญญาของเราขึ้นมานี่เราว่าเราเข้าใจๆ นั้นเป็นปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งที่เป็นปัญญาอบรมสมาธิมันเป็นโลกียะ รากฐาน เห็นไหม เกิดขึ้นมาจากเชื้อ โรคจะเกิดได้เพราะมีเชื้อ มีไข้ขึ้นมามันถึงเกิดโรคขึ้นมาได้
อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรามีกิเลสในหัวใจ ความคิดที่ออกมาจากโลกียะ มันออกมาจากกิเลสทั้งหมด สิ่งที่มีกิเลสมันก็มีความคิดของเราแอบแฝงมาด้วย มันถึงต้องทำความสงบของใจ เวลาเราพิจารณาก็เหมือนกัน เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งนี้ใคร่ครวญเข้ามา ความคิดของเราถ้าเราคิดขึ้นมานะ มันเหมือนกับเส้นผมบังภูเขา เหมือนกับเราเอาผ้าขาวม้าโพกหัวเลย แล้วเราหาผ้าขาวม้าไม่เจอ นี่มันหาไม่เจอ มันลึกลับอย่างนี้ไง
ความคิดมันส่งออก สิ่งต่างๆ เห็นไหม ดูเขาสร้างสิ สร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ตึกกี่ร้อยชั้นเขาก็ทำได้ สิ่งมหัศจรรย์ในโลกใครเป็นคนทำขึ้นมา ก็มนุษย์เป็นคนสร้างขึ้นมาทั้งนั้นเลย มนุษย์ทำได้ทั้งหมดเลย สิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์ แต่มนุษย์แพ้ตัวเอง แพ้ตัวเองเพราะตัวเองคิดออกไปข้างนอก ความคิดของเราออกไปข้างนอกมันส่งออกไป แล้วมันก็คิดความคิดแบบนั้นจะฆ่ากิเลส มันก็หลอกไง หลอกอยู่ภายใน มันจะไม่เห็นตัวตนของเราเลย
ต้องทำความสงบของใจ พยายามทำสัมมาสมาธิ ต้องมีศีลก่อน ถ้ามีศีลมันก็บังคับปกติ ทุกคนบอกว่าไม่อยากรักษาศีล พระในสมัยพุทธกาลไปบอกพระพุทธเจ้าขอสึกเลย อะไรก็ผิดๆ ยุ่งยากไปหมดเลย ไม่อยากอยู่แล้วขอสึก พระพุทธเจ้าบอกว่า เอาศีลข้อเดียวได้ไหม? รักษาข้อเดียวเท่านั้นแหละ ได้ ตั้งเจตนาของเราไว้ เราไม่มีเจตนาทำความผิด แต่ความพลั้งเผลอของมนุษย์ปุถุชนมันต้องมี แบบว่าเราถือศีลบริสุทธิ์ เราเดินไปบนถนน เราต้องเหยียบสัตว์ตายบ้างอะไรตายบ้าง กรรมของสัตว์มันมีไง มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ว่าเราจะไม่ให้มีความผิดพลาดเลย เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่เรามีเจตนามีศีลเพื่อบังคับเรา บังคับเราเพราะอะไร? เพราะเจตนา ความพยาบาท ความอาฆาต ความมาดร้าย มันทำลายเขา นี่มันตัวกิเลส ถ้ามีศีลมาบังคับๆ ตัวนี้ไง มันมากรองกิเลสต่างหาก มากรองตัวความโลภ ความโกรธ ความหลงของใจ ศีลบังคับตรงนี้ บังคับใจไม่ให้มันมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ไม่มีการทำลายกัน ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนคนอื่น ถ้ามันคิดนี่มันทำลายตนเองก่อน มันทุกข์ยากมาก เวลามันคิดขึ้นมามันเบียดเบียนตน เราต้องทำอย่างนั้น เราจะหาทางออกอย่างนั้น ความเป็นไปของเราอย่างนั้น มันจินตนาการไปหมดเลย นี่เป็นผลของกิเลส
แต่ถ้ามันเป็นความดี เราจะสร้างสมคุณงามความดี เราจะทำสาธารณะประโยชน์อย่างนั้น ทำความดีอย่างนี้ นี่มันเป็นมรรค สิ่งที่เป็นมรรค อันนี้ก็เหมือนกัน พอมันเป็นมรรคขึ้นมามันจะสร้างประโยชน์กับเราขึ้นมา ใจก็เหมือนกัน ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้ามันคิดนะมันมองเห็นเป็นผล มันจะเห็นความเป็นผลของมัน เห็นเป็นผลแล้วใคร่ครวญ สิ่งที่ความคิดของเรา ความคิดเกิดดับมันคิดอยู่ทุกวันเลย แต่ความคิดมีอำนาจเหนือเรา
ถ้าเรามีสติปัญญาเราใคร่ครวญความคิดของเรา สิ่งนี้คิดผิดคิดถูก แล้วมันจะย้อนกลับไปตั้งแต่เด็ก เราคิดออกมานี่มันจะขำตัวเองนะ ทำไมเราคิดอย่างนั้นได้ ทำไมเราเป็นอย่างนั้นได้ แต่ตอนที่มันคิดนั้นปัจจุบันนั้นมันก็ว่ามันถูกต้อง มันดีงามทั้งหมด สิ่งที่ดีงามมันเป็นวุฒิภาวะไง ใจมันยังไม่พัฒนาขึ้นมา
แล้วเราใช้ความคิดอย่างนี้ไล่ความคิดของเราเข้ามา วุฒิภาวะมันก็เจริญขึ้นมาๆ มันจะปล่อยสิ่งนั้นๆ ย้อนกลับเข้ามา มันจะเห็นคุณงามความดีจากภายใน ถ้าคุณงามความดีจากภายในความคิดความเห็นเรานี่แหละ สิ่งที่อยู่กับเราเกิดดับตลอดเวลา มันคิดออกไปมันเหมือนกับมันเป็นวัตถุเป็นเครื่องมืออันหนึ่ง ในการสื่อความหมายในการสื่อสารกัน
แต่ถ้าเราใช้ความคิดการสื่อความหมายมันจะย้อนกลับมาเห็นความเกิดดับ การสื่อความหมาย ถ้าการสื่อความหมายเกิดดับมันจะร้องแปลกประหลาดนะ ร้อง เอ๊ะ! เอ๊ะ! อันนี้มันเกิดดับแล้วเราเข้าใจได้อย่างไร เอ๊ะ! มันไม่สิ่งใดเลยที่เป็นแก่นสาร มันจะสลดสังเวชนะ
มนุษย์เกิดขึ้นมา มนุษย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์อันนี้ประเสริฐมาก เกิดขึ้นมาแล้วเราถึงคุณงามความดีได้ เราหาเงินหาทองขนาดไหนเป็นของเรานะ ถ้าเราตายไปนะเงินในธนาคารนั้นก็เป็นมรดกตกทอดแก่บุตรหลานไป แต่เราก็ไปประสาเรา แต่ถ้าเราอยู่เป็นสมบัติเราไหม? เป็นสมบัติเรา
อันนี้ก็เหมือนกัน ความคิดที่มันยังเกิดดับอยู่กับเรานี่ ถ้าเราใคร่ครวญมันเราเห็นมัน เป็นสมบัติของเราไหม? เป็นสมบัติเพราะอะไร? เพราะเราปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง สิ่งที่เราได้มานี่เป็นสมบัติมหาศาลเลย เป็นสมบัติมหาศาลเพราะมนุษย์สมบัตินี่สำคัญมาก ถ้ามีมนุษย์สมบัติขึ้นมานี่มีกายกับใจ ถ้ามีกายกับใจวิปัสสนากายกับใจ สิ่งที่ร่างกายนี้ต้องแปรสภาพไปตามธรรมชาติของมัน แต่ร่างกายนี้มันเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้น ปัญญามันใคร่ครวญสิ่งนี้ สิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ภายในนี้แล้วพอมันทำเข้าไป วิปัสสนาเข้าไปมันจะเริ่มปล่อยวางๆ พอปล่อยวางมันจะมีความสุขมาก
สิ่งที่มีความสุขเห็นไหม ความสุขของเราหาได้ในร่างกายนี้ หาได้ในจิตใจนี้ เวลาเขาพักร้อนกัน เขาไปเที่ยวพักผ่อนกัน นั่นนะมันเป็นทุกข์อันหนึ่ง ทุกข์อันละเอียดไง ทุกข์เพราะเข้าใจว่าอันนี้เป็นความสุข เรานั่งรถนั่งราไปเสียไกลเลยนะ ไปนอนเล่นแล้วเราก็กลับมา ทั้งอ่อนเพลียทั้งเสียพลังงาน ทั้งทุกอย่างเลย แต่เราเข้าใจว่าเป็นความสุขไง เป็นความสุขเพราะเราพอใจนั้นคือความทุกข์ การเดินทางการไปมันไม่ทุกข์เหรอ ทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่เราเข้าใจว่าเป็นความสุขเป็นความพอใจของโลก สิ่งนั้นเราก็พอใจไปตามประสาสิ่งนั้น
แต่สุขจริงๆ นั่งสมาธิ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ สโมสรสันนิบาตพร้อมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ปกติ สโมสรสันนิบาตของผู้ที่สิ้นกิเลส นั่งอยู่ปกตินั่งอยู่เงียบๆ นั้นล่ะ นั่นนะเป็นความสุขอย่างยิ่ง ใจมันดูใจของเราเข้ามา มันปล่อยวางทุกอย่างเลย แล้วเป็นความสุขของมัน เพราะมันไม่มีภาระรุกรุงรังในหัวใจทั้งหมด ไม่มีภาระเพราะกิเลสมันตาย ถ้ากิเลสตายไม่มีเชื้อยุแหย่
แต่ถ้าเป็นของเราๆ สบายใจ เรากิเลสมันสงบตัวลง กิเลสมันซุกอยู่ภายใน แล้วเราเข้าใจว่าเราเรียบร้อยแล้ว เราทำงานของเราแล้ว ถ้าติดสมาธิเป็นแบบนั้น เป็นความสุขมาก มีความสุขของเราสมควร ถ้ามันสุขแล้วออกมาทำไม? มันเป็นธรรมชาติของมัน
สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งใดมันต้องแปรสภาพตลอดไป มันเป็นธรรมชาติของมัน มันเจริญแล้วเสื่อม เวลาเรามีความสุขเราอยากอยู่กับเรานานๆ เดี๋ยวมันก็แปรสภาพไป เดี๋ยวก็คิดเรื่องนู้นเดี๋ยวก็คิดเรื่องนี้ มันไม่คงที่ของมัน สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของมัน เราบังคับมันไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราสร้างเหตุ ชำนาญในวสี พยายามทำให้มันสงบเข้ามาบ่อยครั้งเข้าๆ ตั้งสติ ถ้าเราสร้างเหตุอันนี้ได้เหมือนกับเราต้มน้ำเลย เรารักษาไฟน้ำจะเดือดตลอดไป ถ้าไฟมอดน้ำนั้นเดี๋ยวมันก็เย็นตัวลง ธรรมชาติมันเป็นแบบนั้น
แต่ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาสิ สิ่งที่วิปัสสนาไปแล้วมันจะเห็นตามความเป็นจริงของมัน แล้วมันปล่อยวางนะ สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ในสมมุติ เป็นประโยชน์เพราะมันเป็นในสมมุติในการสื่อสารกัน แต่มันจะเป็นโทษเพราะว่าสิ่งนี้มันยึดมั่นถือมั่นกัน มันเป็นความจริงของมัน ความคิดมันเป็นความจริงของมันอันหนึ่ง แต่เวลาเราคิดขึ้นมาเราความพอใจ ความอุปาทานความยึดมั่น ความคิดของเราๆ ต้องการตามปรารถนาของเรา แรงตัณหาความทะยานยากมันยึดมั่นขึ้นมา
ถึงบอกว่า ทุกข์นี้เป็นความจริง ความเกิดดับความที่ว่ามันเป็นทุกข์อันละเอียดมันเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่ตัณหาความทะยานยากสมุทัยอันนี้เราสามารถชำระล้างได้ เราสามารถชำระอันนี้ได้ ความจริงของความคิดมันก็อยู่อย่างนั้น มันเป็นความคิด แต่ความคิดสะอาดขึ้นมาๆ ไม่มีความยึดมั่นไม่มีอุปาทานการยึดมั่น ไม่มีสิ่งต่างๆ ที่เข้าไปเป็นเจ้าของมัน มันจะปล่อยวางตามความจริงมัน มันจะเกิดดับตามธรรมชาติของมัน ไม่มีโทษไม่มีภัยกับใคร
แต่ถ้าเรายังไม่สามารถชำระกิเลสมันมีโทษมีภัยกับเรา เพราะว่ามันทำให้เราหลงไง มันหลอกเรานะ ความคิดเรานี่หลอกเรา แม้แต่การปฏิบัติธรรมจะต้องเป็นแบบนั้นๆ คาดไปหมายไป ฟังธรรมของครูบาอาจารย์นี่ฟังธรรมไว้เป็นเหตุ เหตุในการประพฤติปฏิบัติแล้วเราทำขึ้นมา มันจะสมประโยชน์กับเราไม่สมประโยชน์กับเรา มันเป็นอีกส่วนหนึ่ง
การเกิดโดยธรรมชาตินั้นคือสภาวธรรม การเกิดในการคาดการหมาย การเกิดในการจินตนาการของเรานั้นเป็นเรื่องโลกทั้งหมดเลย ถึงต้องมีสัมมาสมาธินี้เป็นตลอดไป สัมมาสมาธิกับวิปัสสนา มันจะก้าวเดินตลอดไป จะทำความยึดมั่นถือมั่นของเราแล้วความดีจะเป็นความดีโดยธรรมชาติ เราทำความดีเพื่อโลก ดูอย่างหลวงตา ทำความดีเพื่อโลกทำความดีเพื่อสัตว์โลก แล้วยังสอนนะ สอนเทวดา สอนอินทร์ สอนพรหม สอนได้หมด เข้าใจตามสภาวะของโลก โลกมันหมุนเวียนไปสภาวะแบบนั้น ถึงเห็นแล้วมันสลดสังเวชนะ
ถ้าเราเข้าใจเรื่องสภาวธรรม ชีวิตนี้เราจะทำเพื่ออะไร? เราจะอยู่กินไปวันหนึ่งๆ เท่านั้นเหรอ กินแล้วก็ตายไปแล้วแต่สมบัติเราจะหมดไป หมดไปเราไปเกิดสถานะใหม่เราก็ไม่รู้ เกิดได้ โตเทยยพราหมณ์เป็นมหาเศรษฐี มีเงินมหาศาลเลย เพราะว่าเอาเงินฝังไว้ สมัยก่อนไม่มีธนาคารฝังไว้หลังบ้านของตัวเอง เวลาเกิดความผูกพันกับสมบัตินั้นมาเกิดเป็นสุนัขเฝ้าสมบัตินั้น นี่อยู่ในพระไตรปิฎก
เราจะเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าเราไม่เป็นอย่างนั้น สมบัติมันก็เป็นประโยชน์ถ้าเราใช้มันเป็นประโยชน์ แต่เราไม่ไปผูกพันกับมัน ผูกพันกับมันจนมาเกิดเป็นสุนัขเฝ้ามัน มันเป็นเรื่องน่าสลดสังเวชมาก เราไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย สมบัติของเราออกไปให้หมด มีชีวิตอยู่ให้ลูกให้หลานไปให้หมด อย่าไปติดไปกับมัน แล้วเราทำใจของเราพ้นจากตรงนี้ไปได้ พ้นออกไปจากใจ เกิดขึ้นมานะมันจะเกิดเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราไม่ถึงสิ้นกิเลสมันก็เกิดสูงขึ้นไปๆ ไม่ต้องเกิดมาในสภาวะต่ำ
เกิดได้หมด ใจนี้เกิดได้หมด วัฏฏะเป็นแบบนั้น ถ้าใครเห็นนะเชื้อมันอยู่ที่ใจ ถ้าเหตุมันอยู่ที่ใจ ผลมันต้องมีแน่นอน เหตุอยู่ที่นี่เรากังวล เราว่าเราไม่สงสัยอะไรเลย ในว่าโลกนะไม่เชื่อเรื่องศาสนา ไม่เชื่อเรื่องภพชาติว่ามันไม่มี แต่ในเมื่อมันมีความรู้สึกอันนั้นนะ มันต้องไปธรรมชาติของมัน จะปฏิเสธหรือยอมรับมันก็มี
แต่ถ้าเราเข้าใจเราพยายามประพฤติปฏิบัติเราเชื่อ เราสร้างคุณงามความดีไว้ คนโบราณถึงบอก คนจะตายให้นึกถึงพระไว้ นึกถึงพระไว้ก่อนๆ นึกถึงพระนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นอะไร? นี่ใจมันสงบๆ คุณงามความดีเรามีขนาดไหน มันก็จะเป็นอย่างนั้นก่อน มันเสวยภพนั้นก่อน เหมือนออกจากบ้านเราแต่งชุดอะไรมาเราจะเป็นแบบนั้น จิตมันจะออกจากร่างกายมันมีความคิดอะไรไป ความคิดคืออาภรณ์ของมัน ความคิดคือรูปของจิตที่มันจะออก สิ่งนี้มันจะเสวยผลของมัน แล้วเสวยผลของมันนะ
ถ้าผู้ปฏิบัติจนชำนาญ จนปกติของใจ ใจนี้เคลื่อนไหวไปตลอด อิทธิบาท ๔ ผู้ทรงอิทธิบาท ๔ จะอยู่กัปหนึ่งก็อยู่ได้ เพราะมันเห็นความคิดขยับตลอดเวลา ความคิดมันแย็บมันจะเห็นเลย แล้วมันจะตายก็ความคิดนี้เคลื่อนออกไป แล้วถ้ามันทันขึ้นมาแล้วมันจะตายได้อย่างไร ถ้าจะรั้งไว้นะ เว้นไว้แต่ๆ ว่าตายก็มีค่าเท่ากัน อยู่ก็มีค่าเท่ากัน ปล่อยให้มันตายไปซะ เพราะอะไร? เพราะตายไปมันสบาย มันพ้นออกไปไม่ต้องแบกภาระไง ไม่มีร่างกายไว้ขับถ่าย ไม่มีร่างกายไว้ต้องหาให้มันกินอีก จิตนี้อยู่ความสุขพ้นไปไม่ต้องหาอยู่หากิน จิตมีความสุขมาก
แต่ถ้ามีร่างกายๆ มันต้องใช้อาหาร มันถึงต้องพาร่างกายนี้กินอยู่ ต้องพาร่างกายนี้ขับถ่ายอยู่ สิ่งนี้ถ้ายังขับถ่ายปกติมันก็มีความสุข ถ้าการขับถ่ายมันไม่ปกติมันก็เป็นความทุกข์ เป็นโรคเป็นภัยไข้เจ็บขึ้นมามันเป็นความทุกข์มาก ถึงว่าถ้ามันขยับไปตาย ถึงปล่อยไง แต่ถ้าผู้ที่จะมีประโยชน์กับโลก เห็นจิตมันขยับออกไปรั้งไว้ ไม่มีตาย จะอยู่เมื่อไหร่ก็อยู่ได้ ความตายถึงหลอกกัน สิ่งนี้หลอกกัน
แต่ถ้าพูดถึงว่าเราไม่เป็น เราไม่เห็นจะไม่เห็นสิ่งนี้เลย แล้วจะมีความทุกข์มาก ติดกับสิ่งนี้ไป ความทุกข์ในร่างกายนี้ ความทุกข์ในการเกิดการตายนี้กับการชำระได้ ถึงเวลาใส่บาตรตักบาตรคิดถึงเป้าหมายของเราให้พ้นจากทุกข์ แล้วเราจะพ้นจากทุกข์ได้ เอวัง
i